วันจันทร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

สายน้ำแหล่งอารยธรรม ๒


กรุงศรีอยุธยา





ขอขอบคุณภาพจากhttp://haab.catholic.or.th/history/history01/protuget.html

กรุงศรีอยุธยาเป็น อาณาจักรของไทยในอดีตมีหลักฐานของการเป็นเมืองในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๘ โดยมีร่องรอยของที่ตั้งเมือง โบราณสถาน โบราณวัตถุและเรื่องราวเหตุการณ์ในลักษณะตำนาน พงศาวดารไปจนถึงศิลาจารึก ซึ่งถือว่าเป็นหลักฐานร่วมสมัยที่ใกล้เคียงเหตุการณ์มากที่สุด ว่า ก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยาในพ.ศ. ๑๘๙๓ นั้น ได้มีบ้านเมืองตั้งอยู่ก่อนแล้วมีชื่อเรียกว่าเมืองอโยธยา หรืออโยธยาศรีรามเทพนครหรือเมืองพระราม
มีที่ตั้งอยู่บริเวณด้านตะวันออกของเกาะเมืองอยุธยาเป็นเมืองที่มีความเจริญทางการเมืองการปกครองและมีวัฒนธรรมที่รุ่งเรืองแห่งหนึ่ง


ขอขอบคุณภาพจากhttp://shalawan.www2.50megs.com/our-ayuttaya-2.htm

การสถาปนากรุงศรีอยุธยา

ชาวไทยเริ่มตั้งถิ่นฐานบริเวณตอนกลางและตอนล่างของลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยามาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๘ แล้ว มีเมืองสำคัญหลายเมือง อาทิละโว้,อยุธยา,สุพรรณบุรี,นครปฐม เป็นต้น ต่อมาราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๙ อาณาจักรขอม และสุโขทัยเริ่มเสื่อมอำนาจลง

พระเจ้าอู่ทองเสด็จมาสร้างกรุงศรีอยุธยาเมื่อ พ.ศ. ๑๘๙๓ ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าพระองค์มีเชื้อสายมาจากราชวงศ์ใด และมีถิ่นกำเนิดอยู่ที่เมืองใด

แต่มีข้อสันนิษฐานว่า พระเจ้าอู่ทองสืบเชื้อสายมาจากทางเหนือ ตอนบนของแม่น้ำเจ้าพระยา ก่อนที่จะอพยพมาสร้างกรุงศรีอยุธยา

ส่วนความคิดเห็นหนึ่งก็ว่า พระเจ้าอู่ทองอยู่ที่เมืองอโยธยา และทรงอพยพไพร่พลหนีโรคระบาดข้ามฝั่งแม่น้ำมาสร้างกรุงศรีอยุธยา

นอกจากนี้ยังมีความคิดเห็นที่แตกต่างออกไปว่า พระเจ้าอู่ทองซึ่งเป็นฝ่ายละโว้ได้อภิเษกสมรสกับพระราชธิดาของกษัตริย์แห่งสุพรรณภูมิ เพื่อจุดมุ่งหมายทางการเมืองที่จะสร้างความมั่นคงให้กับอาณาจักร
ต่อมาเมื่อเมืองอู่ทองเกิดโรคระบาด เกิดภัยธรรมชาติ ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก พระเจ้าอู่ทองจึงอพยพผู้คนไปยังทำเลที่มีน้ำอุดมสมบูรณ์ ในระยะแรกได้ตั้งพระตำหนักอยู่ที่เวียงเหล็ก
ทรงใช้เวลาในการสร้างพระนครถึง ๓ ปี

ทรงสร้างเมืองใหม่ที่บริเวณหนองโสนหรือบึงพระราม ในบริเวณซึ่งเป็นที่ตั้งของ วัดพระศรีสรรเพชญ์ ในปัจจุบัน ส่วนเวียงเหล็กนั้นได้สถาปนาเป็นวัดพุทไธศวรรย์ อันเป็นอนุสรณ์สถานแห่งแรกของการสร้างราชธานี

แล้วสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีในปี พ.ศ.๑๘๙๓ มีชื่อตามพงศาวดารว่า

" กรุงเทพมหานครบวรทวาราวดีศรีอยุธยามหาดิลกภพนพรัตน์ราชธานีบุรีรมย์อุดมพระราชนิเวศน์มหาสถาน "

พระเจ้าอู่ทองเสด็จขึ้นครองราชย์เป็นปฐมกษัตริย์ต้นราชวงศ์อู่ทอง ทรงพระนามว่า "สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ "


ขอขอบคุณภาพจากhttps://sites.google.com/site/xyuthyakrungkea/pra-wati-x-yuth

บริเวณที่ตั้งเมืองนั้นมีแม่น้ำล้อมรอบถึง ๓ สาย
อันได้แก่

แม่น้ำลพบุรีทางทิศเหนือ
แม่น้ำเจ้าพระยาทางทิศตะวันตก
และทิศใต้, แม่น้ำป่าสักทางทิศตะวันออก

แม่น้ำทั้ง ๓ สายนี้ ไหลมาบรรจบกันล้อมรอบราชธานี ทำให้กรุงศรีอยุธยามีลักษณะเป็นเกาะที่มีสัณฐานคล้ายเรือสำเภา คนทั่วไปจึงเรียกอยุธยาว่า "เกาะเมือง"

เดิมทีบริเวณนี้ไม่ได้มีสภาพเป็นเกาะ ต่อมาพระองค์ทรงดำริให้ขุดคูเชื่อมแม่น้ำทั้ง ๓ สาย กรุงศรีอยุธยาจึงมีน้ำเป็นปราการธรรมชาติให้ปลอดภัยจากข้าศึก

นอกจากนี้ที่ตั้งกรุงศรีอยุธยายังห่างจากปากแม่น้ำไม่มาก เมื่อเทียบกับเมืองใหญ่ ๆ อีกหลายเมืองในบริเวณเดียวกัน
ทำให้กรุงศรีอยุธยาเป็นศูนย์กลางการกระจายสินค้าสู่ภูมิภาคอื่นๆในอาณาจักร รวมทั้งอาณาจักรใกล้เคียงอีกด้วย

อาณาจักรอยุธยาสถาปนาขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๑๘๙๓ และดำรงความเป็นอาณาจักรไว้ได้นานถึง ๔๑๗ ปี

อารยธรรมและความเจริญในดินแดนแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมานานหลายร้อยปีแล้ว ทั้งนี้จากการศึกษาค้นคว้าหลักฐานทางด้านโบราณสถาน โบราณวัตถุ ตำนานต่างๆ และเอกสารของชาวต่างชาติ ทำให้เชื่อกันว่ากลุ่มชนชาวไทยได้สร้างสรรค์ความเจริญและมีพัฒนาการทางอารยธรรม อยู่ในแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง เป็นเวลานานหลายร้อยปี ก่อนสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ทรงสถาปนาอาณาจักรอยุธยา สันนิษฐานว่าก่อนปี พ.ศ. ๑๘๙๓

ศูนย์กลางทางด้านวัฒนธรรมในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่างคงจะอยู่ที่ลพบุรี
ส่วนศูนย์กลางทางด้านการเมืองการปกครองนั้นอนุมานว่าอยู่ระหว่างลพบุรีกับสุพรรณบุรี

ทัในเวลานั้นกรุงสุโขทัยเริ่มอ่อนแอลงทำให้กลุ่มคนไทยในแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ที่มีกำลังเข้มแข็งตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนขึ้นส่วนพวกที่อ่อนแอ ที่ไม่สามารถรวมกำลังเป็นปึกแผ่นก็จะเข้ามาอยู่ในความปกครองของคนกลุ่มอื่นผู้นำกลุ่มคนไทยที่มีกำลังเข้มแข็งกว่าสามารถตั้งตนเป็นใหญ่ในบริเวณภาคกลาง ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาและสถาปนาราชธานีคือ “กรุงศรีอยุธยา” ขึ้นในปี พ.ศ. ๑๘๙๓ ทรงพระนามว่า “สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง)”

ต่อมาศูนย์กลางทั้งทางด้านการปกครอง วัฒนธรรม และเศรษฐกิจ จึงได้ย้ายมาอยู่ที่กรุงศรีอยุธยาและเป็นที่รวมของหลักฐานทางประวัติศาสตร์ และอารยธรรมที่สำคัญของไทยที่ตกทอดมาถึงยุคปัจจุบัน



ขอขอบคุณภาพจากhttp://www.manager.co.th/indochina/viewnews.aspx?NewsID=9560000008955

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.trueplookpanya.com/new/cms_detail/knowledge/1752-00/
http://www.comingthailand.com/ayutthaya/wat-phutthaisawan.html
http://www.thaigoodview.com/library/teachershow/nakhonsithamrat/tawat_k/laktanprawattisat/3page01.htm
http://www.varunee-raikhing.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น